fbpx
Cover

BAScii Chula โปรแกรมแห่งศตวรรษที่ 21

จากวิกฤตการณ์โควิด-19 รวมถึงพิษเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาระดับโลก ทำให้คนที่มีความรอบรู้กลายเป็นบุคคลที่เป็นที่ต้องการของแทบทุกอุตสาหกรรม

เพราะนอกจากทักษะที่หลากหลายแล้ว พวกเขายังมีประสบการณ์ตรงในการลงมือปฎิบัติจริง สามารถมองเห็นมุมกว้างของธุรกิจ Innovation และเทคโนโลยี เข้าใจความสำคัญของแต่ละองค์ประกอบอย่างเชื่อมโยงกัน และมองเห็นโอกาสในการแก้ปัญหาแบบบูรณาการได้มากกว่า

เมื่อวันที่ 30 กรกฏาคม 2565 ที่ผ่านมาสถาบันวอร์ริคจัดงาน BAScii Exclusive Talks ซึ่งได้รับเกียรติจาก Dr. Pietro Borsano Deputy Executive Director, Industrial and Global Alliance at The School of Integrated Innovation, Chulalongkorn University พร้อมศิษย์เก่าวอร์ริคที่ปัจจุบันเป็นนิสิต BAScii มาร่วมให้ข้อมูลที่อัพเดทแบบครบเครื่องและครอบคลุม

BAScii ผสาน 3 ศาสตร์เพื่อตอบสนองความต้องการแห่งโลกอนาคต

        BAScii คือโปรแกรมอินเตอร์ในจุฬาฯ ที่ฉีกแนวคิดแบบเก่า กลุ่มผู้ก่อตั้งโปรแกรมนี้เน้นให้นิสิตได้เรียน 3 ศาสตร์คือ (1) Business (ทำธุรกิจเป็นจะต้องรู้ว่าตลาดต้องการอะไร), (2) Design (ตอบโจทย์ผู้บริโภคผ่าน Design Thinking) & (3) Technology แล้วนำศาสตร์ทั้งสามมาผสมผสานกันและต่อยอดผ่าน Project-based Learning & Mentorship เพื่อให้นิสิตสามารถนำความรู้และ Skills มาทำงานให้ได้และทำงานกับคนอื่นให้เป็น โดยอาศัยการเรียนรู้แบบ Comb-shaped  ให้ผู้เรียนเกิดความรู้รอบ และมีความเป็นนักเจาะลึกในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งเกิดจากการสะสมประสบการณ์ ประยุกต์และผสมผสานศาสตร์การเรียนรู้ให้สามารถต่อยอดจนเกิดวิธีการและองค์ความรู้ใหม่ หรือที่เรียกว่า Transdisciplinary เพื่อตอบรับความต้องการในโลกยุคปัจจุบัน รวมถึงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

 Source: https://scii.chula.ac.th/bascii-programs/

 

เรียนรู้ผ่านประสบการณ์ตรง

         BAScii เน้นการเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติจริงผ่าน Project-based learning ที่มีโปรเจคที่หลากหลายเป็นสนามจำลองให้ระดมความคิดและทดลองทำทั้งในจุฬาฯ เองและองค์กรเอกชนยักษ์ใหญ่ภายใต้ความร่วมของโปรแกรม นั่นก็เพราะต้องการสร้าง Soft Skills อันได้แก่ ทักษะการสื่อสาร, การทำงานร่วมกับผู้อื่น, ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รวมถึงความฉลาดทางอารมณ์ เพื่อขับเคลื่อนให้ความฝัน แรงบันดาลใจ และไอเดียแนวคิดใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งทักษะเหล่านี้หาไม่ได้จากในห้องเรียน แต่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีระบบ Mentorship โดยเหล่าคณาจารย์ระหว่างการทำโปรเจคเหล่านั้น คณะนี้จึงเป็นเหมือนสะพานที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงองค์ความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ เพื่อนำไปประยุกต์ใช้และต่อยอดในชีวิตจริงได้อย่างสร้างสรรค์ พร้อมทั้งส่งเสริมให้นิสิตรู้จักเรียนรู้จากความผิดพลาด ต่อยอดความคิด และมี Soft Skills ที่แข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย 

เรียนรู้กับองค์กรระดับโลก

         องค์กรที่เป็นพันธมิตรกับ BAScii นั้นล้วนแล้วแต่เป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมชั้นนำ ยกตัวอย่างเช่น  Microsoft ที่ดำเนินธุรกิจมานานกว่า 40 ปี เป็นที่รู้จักและมีลูกค้าอยู่ทั่วโลก, บริษัท ปตท. จํากัด (มหาชน) จากบริษัทพลังงานแห่งชาติ สู่บริษัทพลังงานข้ามชาติ และ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือที่รู้จักกันในชื่อของ SCG บริษัทที่ต่อยอดธุรกิจได้อย่างสร้างสรรค์และเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริษัทระดับโลกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน), บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด, ธนาคารไทยพาณิชย์ จํากัด (มหาชน) เป็นต้น จะเห็นได้ว่าบริษัทที่ถูกนำมายกตัวอย่างมานั้นล้วนเป็นบริษัทที่มีการก่อตั้งมาอย่างยาวนาน ผ่านวิกฤติและสถานการณ์ต่าง ๆ มาหลายต่อหลายครั้ง แต่ยังคงพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่อง นั่นแปลว่านิสิตจะได้เข้าไปฝึกฝนและเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์จากกลุ่มบุคคลระดับหัวกะทิในแต่ละแขนงสายงานอย่างแน่นอน

เปิดกว้างการเรียนรู้ระดับสากล

นอกจากพันธมิตรที่เป็นระดับองค์กรแล้ว BAscii ก็ยังมีพันธมิตรทางการศึกษาด้วย ไม่ว่าจะเป็น (1) UC Berkeley มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในรัฐแคลิฟอร์เนีย (2) National University of Singapore มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกที่อยู่ในลำดับต้น ๆ ของเอเชีย และ (3) University of Washington มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่และเก่าแก่ในบริเวณชายฝั่งตะวันตกของประเทศสหรัฐอเมริกา อย่างไรก็ตามทางคณะนั้นมีพันธมิตรทางการเรียนรู้รวมกันกว่า 10 มหาวิทยาลัย และแน่นอนว่านิสิตทุกคนจะมีโอกาสได้ไปเรียนแลกเปลี่ยนกับเพื่อนต่างชาติพร้อมเพิ่มพูนศักยภาพอย่างสากลได้อย่างแน่นอน

อยากเป็นเด็ก BAScii นั้นไม่ยากถ้ามุ่งมั่นและตั้งใจ

เหล่านิสิตปัจจุบันและนิสิตป้ายแดงของทางคณะ ต่างมาร่วมแบ่งปันวิธีการเตรียมตัวเพื่อพิชิตที่นั่งใน BAScii Chila ซึ่งจะแบ่งออกเป็นหัวข้อใหญ่ ๆ ได้ดังนี้

  1. ต้องทำความเข้าใจกับตัวเองก่อนว่าทำไมเราถึงอยากเข้าคณะนี้เพื่อที่จะสร้างแรงกระตุ้นและผลักดันตัวเองให้มีความมุ่งมั่น
  2. เช็คว่าเราต้องใช้คะแนนอะไรบ้างในการยื่นเพื่อเข้าศึกษาต่อ เพราะ BAScii นั้นดูทั้งคะแนน (a) English Proficiency (b) Aptitude Test และ (c) Specific Requirement ถ้ามีเวลามากพอก็ค่อย ๆ ปลดล็อคไปทีละวิชา แต่ถ้าเวลามีน้อยก็ต้องพยายามให้มากฝึกฝนและปั่นคะแนน 2 – 3 วิชาควบคู่กันไป
  3. ยิ่งรู้ตัวเร็วยิ่งได้เปรียบ เพราะอย่าลืมว่า Portfolio เป็นส่วนหนึ่งของการประเมิน เราต้องใช้เวลาในการเก็บรวบรวมและร้อยเรียงออกมาให้ดีที่สุด
  4. ต้องให้เวลากับ Specific Requirements เพราะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะตัดสินอนาคตของเรา
  5. การจัดสรรเวลาให้ดีเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องมีเวลาที่ได้พักผ่อนได้อยู่กับตัวเองด้วย เพราะความตึงเครียดอาจทำให้เราพลาดได้

เรียนคณะนี้ไม่มีคำว่าผิดหวัง

แต่ละรายวิชาที่นิสิตได้เรียนนั้นจะมีการเชื่อมโยงกันอย่างผสมผสานอย่างอัตโนมัติ เหล่าคณาจารย์จะคอยผลักดันให้นิสิตได้นำความรู้จากศาสตร์ต่าง ๆ มาผสมผสานกันได้อย่างลงตัว พร้อมส่งเสริมทั้งให้นิสิตมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ หลังจากเรียนแต่ละวิชาจบ อาจารย์จะมีโจทย์ให้นิสิตได้กลับไปคิดต่อยอดและลองนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปลองใช้จริง นอกจากนี้ทางคณะยังสนับสนุนให้นิสิตได้ไปแข่งขัน Start-up ในรายการต่าง ๆ ผ่าน Project Seed Program ที่นิสิตทุกคนจะได้เรียนรู้ทุกภาคเรียน ซึ่งแน่นอนว่าในแต่ละโปรเจคก็จะมี Mentor ที่เชี่ยวชาญใน Start-up ด้านนั้น ๆ มาคอยให้คำปรึกษาและแนะนำให้กับแต่ละกลุ่มโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมี Student Council ที่จะคอยสร้างมิตรภาพใหม่ ๆ สรรหากิจกรรมที่สนุกและสร้างสรรค์มาเสิร์ฟให้กับนิสิตอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เรียกได้ว่าเรียน BAScii ได้พัฒนาอย่างรอบด้านครบจบในที่เดียวจริง ๆ

Admission Requirements ของ BAScii เป็นอย่างไร

จากคะแนน 100 คะแนนเต็ม แบ่งออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ดังนี้
1) Aptitude Test (i.e. SAT Math) 30%
2) English Proficiency (i.e. SAT Verbal) 20% 
3) Specific Requirements 50% 

Specific Requirements จำแนกออกมาเป็น E-Portfolio 20% และ Interview 30% แน่นอนว่านักเรียนส่วนใหญ่ที่อยากเข้าเรียนโปรแกรมอินเตอร์ฯ จุฬาฯ นั้นมีคะแนน SAT ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว นั่นหมายความว่าทุกคนต้องแข่งขันผ่านคะแนนจากส่วนของ Specific Requirements ที่หลายคนไม่อาจคาดเดาแนวข้อสอบหรือข้อคำถาม และอาจเป็นตัวพลิกเกมทำให้บางคนที่มีคะแนน SAT ระดับปานกลางกลับมามีคะแนนนำได้ไม่ยาก เพราะอีก 50% ของคะแนน เพื่อพิชิตที่นั่งใน BAScii Chula  นั้นคือ Specific Requirement นั่นเอง

 

มีคำถามข้อสงสัยหรืออยากทราบเทคนิคการเรียกคะแนนในส่วนของ Specific Requirements สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Warwick Institute 02-658-4880 หรือ LINE: @warwick­ หรือคลิก https://lin.ee/1s22ckD

PATH TO SUCCESS Workshop & family consultation

ทุกคำถามของคุณเกี่ยวกับการสอบเข้าอินเตอร์ฯ
จุฬาฯ – ธรรมศาสตร์ 
เรามีคำตอบให้ในเวิร์คช็อป 1.5 ชั่วโมงนี้